เรื่อง : อูน

               ฤดูใบไม้ร่วงปีนี้จะมีภาพยนตร์เรื่องใหม่ ‘My Friend Dahmer’ เข้าฉาย เป็นเรื่องราวของฆาตกรต่อเนื่องที่เปรียบเสมือนตำนานบทหนึ่งในประวัติศาสตร์ของคดีฆาตกรรม ซึ่งมีคนเล่าขาน-กล่าวถึงครั้งแล้วครั้งเล่า เวอร์ชั่นใหม่ก็เป็นอีกแง่มุมหนึ่งจากอดีตของนักฆ่า

                เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์ เป็นคนมีพรสวรรค์ แค่ใช้นัยน์ตาสีฟ้าซื่อใสก็มักสามารถเอาตัวรอดจากสถานการณ์คับขันได้ เมื่อตอนที่เขาฆ่าเหยื่อรายแรก สตีฟ ฮิกส์ นักโบกหนุ่มวัย 18 ปี ที่บ้านพ่อแม่ของเขา และชำแหละศพเป็นชิ้นๆ ยัดใส่ลงในถุงดำ แล้วขับรถนำไปทิ้งที่โรงขยะไม่ไกลจากบ้าน ระหว่างทางเขาถูกตำรวจเรียกให้จอด เหตุเพราะเขาขับรถคร่อมเส้นกลางถนน เขาตรวจผลแอลกอฮอล์ผ่าน และให้การว่า การหย่าร้างของพ่อกับแม่ทำให้เขานอนไม่หลับ เขาจึงขนขยะที่บ้านออกมาทิ้ง เจ้าหน้าที่ตำรวจเชื่อเขา และเขียนใบสั่งก่อนปล่อยตัวเขาไป

เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์ เมื่อครั้งถูกจับกุมในปี 1982

                15 ปีถัดมา คุนารักษ์ สินทะสมพน เด็กหนุ่มเชื้อชาติลาว สามารถหลบหนีออกจากอพาร์ตเมนต์ของดาห์เมอร์ได้ ดาห์เมอร์วางยานอนหลับเด็กหนุ่มวัย 14 ปีก่อนร่วมเพศกับเขา จากนั้นใช้สว่านเจาะกะโหลกศีรษะของเหยื่อที่ยังนอนสลบด้วยฤทธิ์ยานอนหลับ และเทกรดเกลือลงไปในรูกะโหลก สักพักฆาตกรวัย 31 ขณะนั้นก็ผละออกจากอพาร์ตเมนต์ไปนั่งดื่มที่บาร์ ทิ้งเหยื่อไว้ในห้องพัก ซึ่งค่อยๆ ฟื้นคืนสติ และรีบวิ่งออกจากอพาร์ตเมนต์ทั้งที่เปลือยกายไปที่ถนน ชาวบ้านในละแวกนั้นโทรศัพท์แจ้งตำรวจ เมื่อดาห์เมอร์กลับมาถึงอพาร์ตเมนต์ เขาชี้แจงกับตำรวจทั้ง 3 นายว่า เขากับแฟนหนุ่ม-ซึ่งขณะนั้นไม่อยู่ในสภาพที่จะโต้ตอบอะไรได้อีก-มีเรื่องระหองระแหงกัน พร้อมทั้งหยิบภาพของเด็กหนุ่มตอนเปลื้องผ้าที่เขาถ่ายไว้ให้ดู

                 ดาห์เมอร์เคยถูกจับกุมและต้องคดีรอลงอาญาหลายครั้ง แต่ตำรวจกลับไม่เช็คประวัติบุคคล รวมทั้งไม่ได้ตรวจสอบสถานที่อย่างละเอียด และไม่ได้เอะใจว่าในอีกห้องหนึ่งมีศพซุกซ่อนอยู่ เมื่อตำรวจผละออกจากอพาร์ตเมนต์ ดาห์เมอร์ก็ลงมือสังหารหนุ่มลาวคนนั้น

                เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์ เกิดเมื่อปี 1960 ในมิลวอกี มลรัฐวิสคอนซิน เขาลุ่มหลงซากสัตว์ที่ตายแล้วมาตั้งแต่วัยเด็ก ในโรงเรียนเขามักแสดงพฤติกรรมแปลกๆ จนเป็นที่ล้อเลียนของเพื่อนนักเรียน ดาห์เมอร์เป็นทุกข์กับปัญหาชีวิตคู่ของพ่อและแม่ จนถึงขั้นแอบซดเหล้าสก็อตช์จากถ้วยโฟมตั้งแต่ชั่วโมงแรกของวิชาเรียน เมื่อครูจับได้ เขาก็ตอบแค่ว่า “มันเป็นยาของผม”

ดาห์เมอร์ระหว่างขึ้นศาล หลังจากก่อคดีฆาตกรรมมาแล้ว 17 ศพ

                การฆาตกรรมครั้งแรกของดาห์เมอร์เกิดขึ้นตอนเขาอายุ 18 ปี หลังจากเรียนจบไฮสคูลไม่นาน พ่อกับแม่ของเขาหย่าร้างกันในที่สุด พ่อของเขาแยกตัวไปพักอยู่ที่โมเต็ล ส่วนแม่ของเขาหอบหิ้วน้องชายย้ายไปอยู่เมืองอื่น ดาห์เมอร์ใช้ชีวิตในบ้านตามลำพัง และหมกมุ่นอยู่กับการมโนเรื่องเพศ ที่เขาสะสมมานานหลายปี เขาฝักใฝ่ในเพศเดียวกัน คอยมองหาผู้ชายที่ยอมให้เขาระบายความใคร่ ขณะเดียวกันก็ไม่สนใจคู่ขาว่าจะมีความสุขทางเพศกับเขาหรือไม่

                เมื่อการช่วยเหลือตัวเองไม่หนำใจ ดาห์เมอร์จึงออกตระเวนไปตามย่านเกย์ในมิลวอกี รู้สึกระทึกและครึ้มใจกับการเป็นนักล่า เขาพาเหยื่อเหล่านั้นไปที่โรงแรมหรือไม่ก็ที่บ้าน ผสมยานอนหลับลงในเครื่องดื่มให้คู่ขา และคอยเงี่ยหูฟังเสียงจากร่างกายของพวกเขา เวลาที่เหยียดตัวนอนหมดสติอยู่ที่ข้างตัวเขา

                ในเดือนพฤศจิกายน 1987 ดาห์เมอร์ลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยอาการงงงวยในห้องพักโรงแรมแอมบาสซาเดอร์ ในมิลวอกี เขาจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนก่อนหน้านั้นไม่ได้ แต่ที่แขนและมือของเขาได้รับบาดเจ็บ ที่ข้างตัวเขามีศพของผู้ชาย บริเวณปากเปื้อนเลือด และมีบาดแผลฉกรรจ์ที่บริเวณหน้าอก เขารีบยัดศพลงกระเป๋าใบใหญ่ แล้วนำศพไปซ่อนไว้ที่ห้องใต้ดินบ้านของยายที่เขาพักอาศัยอยู่ด้วย เวลาผ่านไปร่วมสัปดาห์กว่าที่เขาจะหั่นศพเป็นชิ้นๆ และบรรจุใส่ถุงขยะไปทิ้ง

ภาพถ่ายดาห์เมอร์ตอนเป็นวัยรุ่น (ซ้าย) และรอสส์ ลินช์ ซึ่งมารับบทดาห์เมอร์ ใน ‘My Friend Dahmer’

                เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์เริ่มมีทักษะในการออกล่าเหยื่อมากขึ้น ภายในเวลา 1 ปีเขาลงมือฆ่าเหยื่อไปถึง 13 ราย ส่วนใหญ่เป็นแอฟโฟร-อเมริกัน ระหว่างฆาตกรรมเขามักดื่มสุราอย่างหนักหน่วง เพื่อคุมสติตนเองไม่ให้ฟุ้งซ่าน เขารับรู้ได้ดีถึงความแตกต่างระหว่าง ‘ถูก’ กับ ‘ผิด’ เพียงแต่ความต้องการลึกๆ ในใจของเขารุนแรงกว่า

                ดาห์เมอร์หั่นศพเป็นชิ้นๆ ตัดอวัยวะเพศของเหยื่อแช่ไว้ในน้ำยาดองศพ และพยายามเก็บรักษากะโหลกศีรษะไว้ เขาแช่ศพของเหยื่อบางรายในอ่างอาบน้ำด้วยกรดเกลือ และปล่อยทิ้งไว้ให้ย่อยสลาย จากนั้นเขาก็โกยทิ้งลงชักโครก หรือกวาดทิ้งลงท่อ ความพยายามถึงขีดสุดของเขาเป็นความคิดที่จะเก็บเหยื่อของเขาไว้กับตัวตลอดไป นั่นคือ เขาเริ่มกินเนื้อเหยื่อเหล่านั้น

                กระทั่งในเดือนกรกฎาคม 1991 เมื่อเทรซี เอ็ดเวิร์ดส์ หนุ่มวัย 32 ปี สามารถหลบหนีเอาชีวิตรอดออกจากอพาร์ตเมนต์ของดาห์เมอร์ได้ ‘ปีศาจร้ายแห่งมิลวอกี้’ ก็สิ้นฤทธิ์ นัยน์ตาสีฟ้าใสซื่อของเขาใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป ฆาตกรต่อเนื่อง-ที่เรื่องราววัยหนุ่มของเขาถูกนำมาถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์เรื่อง ‘My Friend Dahmer’ พร้อมออกฉายช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้-ถูกจับกุม หลังจากฆาตกรรมไป 17 ศพ ภายในเวลา 13 ปี สำนวนคำให้การรับสารภาพของเขามีความยาวรวม 159 หน้า ดาห์เมอร์อธิบายถึงความลุ่มหลงในการฆ่าของเขาว่าเป็นสภาวะที่อยู่เหนือการควบคุม ทว่าศาลไม่รับฟัง และตัดสินลงโทษจำคุกเขาตลอดชีวิต

 

                ในที่คุมขัง เรื่องราวของเจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์พลิกเปลี่ยน จากนักล่ากลายเป็น ‘เหยื่อ’ และในเดือนพฤศจิกายน 1994 เขาถูกนักโทษร่วมเรือนจำทุบตีด้วยท่อนเหล็ก

                เป็นครั้งสุดท้ายที่เขาไม่สามารถเอาตัวรอดได้ด้วยนัยน์ตาสีฟ้าซื่อใส

*เรื่องราวของเจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์เคยถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ก่อนหน้านี้ 4 เรื่อง ได้แก่ ‘The Secret Life: Jeffrey Dahmer’ (1993) ‘Dahmer’ (2002) ‘Raising Jeffrey Dahmer’ (2006) ‘The Jeffrey Dahmer Files’ (2012) และเวอร์ชั่นล่าสุด ‘My Friend Dahmer’ (2017) ที่เล่าถึงชีวิตช่วงวัยรุ่นของดาห์เมอร์ระหว่างเรียนอยู่ในไฮสคูล

Facebook Comments Box